หนุ่มสุราษฎร์ฯ ใช้ไนล่อนผูกคอดับคาห้องเช่าที่ภูเก็ต คาดเครียดตกงาน

หนุ่มสุราษฎร์ฯ ใช้ไนล่อนผูกคอดับคาห้องเช่าที่ภูเก็ต คาดเครียดตกงาน

มารดาแทบช็อก! หนุ่มสุราษฎร์ฯ เครียดจัด ถูกตร.จับกุมคดียาเสพติดและตกงาน ตัดสินใจใช้เชือกไนล่อนผูกคอดับคาห้องเช่า เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 7 พ.ค.62 พ.ต.ท.ณรงค์ ด้วงเมือง สารวัตรสอบสวน สภ.วิชิตได้รับแจ้งเหตุมีผู้ผูกคอตายภายในห้องเช่า บริเวณ ซอยประชาเสรี หมู่ที่ 9 ต. วิชิต อ.เมืองภูเก็ต

หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพเทศบาลตำบลวิชิต ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ภายในห้องเช่า 

จากการตรวจสอบภายในบ้านเช่า พบร่างผู้เสียชีวิต ทราบชื่อคือนาย จิรศักดิ์ เพ็งกุล อายุ 26 ปี ชาวต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ใช้เชือกไนล่อนผูกคอตัวเอง กับช่องลมห้องพัก สภาพศพขึ้นอืด เสียชีวิตมาหลายวัน ตรวจสอบภายในห้องพักไม่มีร่องรอยรื้อค้น เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบเก็บหลักฐานก่อนให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตนำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตรยังโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต

จากการสอบถาม นาง อุบลรัตน์ สีลาพา อายุ 44 ปี มารดาผู้เสียชีวิต กล่าวว่า บุตรชายได้มาเช่าห้องพักดังกล่าวประมาณ 5 เดือน ในวันนี้ตนเองเดินทางมาดูบุตรชายที่ห้องพัก ก่อนพบว่าบุตรชายผูกคอเสียชีวิตจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ ส่วนสาเหตุนั้นคาดว่ามาจากความเครียด เนื่องจากเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมาบุตรชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองภูเก็ตจับกุมในคดียาเสพติด(ยาไอซ์) และถูกดำเนินคดี ขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวออกมา อีกทั้งขณะนี้บุตรชายตกงาน พี่ชายต้องนำเงินมาจ่ายค่าบ้านเช่าให้ จึงคาดว่าทำให้เกิดความเครียด และตัดสินใจคิดสั้น

เตือนภัย คนไทยติดรสเค็ม เสี่ยงไตวาย ตายไว! ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การบริโภคเกลือมากเกินไปจะเพิ่มระดับความดันโลหิต เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และยังทำให้เกิดโรคไต กระดูกเปราะ และมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรบริโภคเกลือไม่ให้เกิน 5 กรัม (1 ช้อนชา) ต่อวัน หรือโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม หรือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้กว่า 2.5 ล้านคน/ปี

คนไทยโดยเฉลี่ยบริโภคโซเดียมสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 เท่า ทำให้ 1 ใน 4 ของคนไทยมีภาวะความดันโลหิตสูง จึงมีข้อเรียกร้องให้ดำเนินการในทางปฏิบัติคือ ในกลุ่มผู้บริโภคสามารถลดปริมาณโซเดียมในอาหารลง จำกัดปริมาณการบริโภคขนมขบเคี้ยวที่มีโซเดียมสูง รวมถึงร้านอาหารต้องมีความรับผิดชอบโดยลดปริมาณโซเดียมลง เพื่อสุขภาพที่ดีของประชากรร่วมกัน

ในปี 2561 พบว่า มาตรการที่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้มากที่สุด คือความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรมเพื่อปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร โดยใช้มาตรการทางภาษีและราคา ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่แต่ละปีมีการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมติดเค็มถึง 98,976 ล้านบาทต่อปี

สวยสมใจ เจ้าของร้านขายดอกไม้กลางเมืองกระบี่ถูกแฟนทิ้ง กิ๊กแฟนเย้ย หอบเงินล้านแปลงร่างตัวเอง

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นที่ฮือฮาในสังคมออนไลน์ของ จ.กระบี่ และมีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “จินดารัตน์ จินดา” ที่นำภาพตัวเองมาโพสต์ ในเฟซบุคดังกล่าว หลังหายหน้าหายตา ไปนานกว่า 7 เดือน กลับมาอีกทีหน้าตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สร้างความแปลกตา แก่ ชาวโซเชี่ยล ส่งผลให้มีการแชร์กันเป็นจำนวนมาก และวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ส่วนใหญ่ไม่อยากเชื่อว่าเป็นตัวจริง ต่อมาเจ้าตัว โพสต์ ข้อความว่า ไปทำศัลยกรรมหมดเงินไปกว่า 1.5 ล้านบาท ผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังผู้ใช้เฟซบุคดังกล่าว ทราบชื่อจริงว่า น.ส.จินดารัตน์ หรือแกรนด์ จินดา อายุ 36 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 17/79 ถ.วัชระ ต.ปากน้ำ อ.เมืองกระบี่ จึงเดินทางไปสอบถามข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดย น.ส.จินดารัตน์ เปิดบริษัท ชื่อ เจ ดับบลิว แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จก. ทำธุรกิจร้านขายดอกไม้ และพักอยู่ ที่บ้านหลังดังกล่าว โดยมีเพื่อนๆแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย

น.ส.จินดารัตน์ กล่าว ยืนยันว่า เป็นตัวจริงเสียงจริง สาเหตุที่หน้าตาเปลี่ยนไปกลายเป็นสาวสวย หุ่นดี จนดูแปลกไปจากคนเดิมเพราะไปทำศัลยกรรมมา หมดเงินไปล้านกว่าบาท เดิมทีตนเป็นคนที่ไม่สวย เคยทำงานเป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ ต่อมาในปี 2552 แต่งงานกับสามีอยู่กินกันมาจนมีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นลูกสาวฝาแฝด จากนั้นตัดสินใจลาออกจากงานมาลงทุนทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูกๆมากขึ้น โดยเปิดกิจการร้านขายดอกไม้ในตัวเมืองกระบี่ ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาดูแลร่างกาย ไม่นานก็กลายเป็นคนอ้วน หน้าตาไม่ดี จนสามีเริ่มตีตัวออกห่างไปมีกิ๊ก ยังไม่พอถูกกิ๊กอดีตสามีโพสต์ข้อความเยาะเย้ยทำให้มีปัญหาในชีวิตคู่ต้องแยกทางกันโดยตนดูแลลูกแฝดทั้งสองคน ต่อมาตนจึงปรึกษากับเพื่อนๆ เรื่องจะทำศัลยกรรม แต่ก็ถูกเพื่อนๆ หลายคนดูถูกว่าหน้าตาอย่างตน ต้องไปตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น ทำให้เป็นแรงผลักดันให้ตนยิ่งอยากทำศัลยกรรมมากขึ้น เพื่อลบคำสบประมาท

น.ส.จินดารัตน์ เล่าต่อว่า ก่อนนี้พยายามติดต่อไปยังโรงพยาบาลหลายแห่ง ทั้งในไทย และที่ประเทศเกาหลี ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการทำศัลยกรรม แต่เมื่อไปดูสถานที่แล้ว ก็ทำให้กลัวเรื่องความปลอดภัย เพราะหลายแห่งจะไม่รับผิดชอบหากเกิดปัญหาตามมาทีหลัง กระทั่งมารู้จักกับอาจารย์หมอท่านหนึ่งในเมืองไทย ท่านก็รับทำให้ โดยจัดทีมแพทย์ดูแลให้อย่างดี เนื่องจากตนเองมีโรคประจำตัวเป็นโรคตับอักเสบบี และภูมิแพ้ แต่ก็ตัดสินใจที่จะทำ โดยเริ่มทำครั้งแรกตั้งแต่เดือนต.ค.61 ใช้เงินในการทำศัลยกรรมไปทั้งสิ้นกว่า 1.5 ล้านบาท โดยทำทั้งหน้าตา หน้าอก รวมถึงลดน้ำหนักจากที่เคยหนักเกือบ 70 กก.ปัจจุบันเหลือเพียง 49 กก. จนปัจจุบันรูปร่างหน้าตาออกมาเป็นที่พอใจ